วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

“บุหรี่” แชมป์สาเหตุปากเหม็นรุนแรง

บุหรี่แชมป์สาเหตุปากเหม็นรุนแรง!!
โดย kittipanan | วันที่ 13 พฤศจิกายน 2555
บริษัท ซุปเปอร์ดรักประเทศอังกฤษ ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใหญ่ 3,000 คนคุณคิดว่า กลิ่นปากจากอะไรที่ทำให้คุณอยากหนีให้ห่างมากที่สุด คำตอบอันดับหนึ่งคือ คนที่สูบบุหรี่ ส่วนสาเหตุอื่นได้แก่ กินกระเทียม ไม่แปรงฟัน และกินต้นหอม
หากเราวิเคราะห์สิ่งที่ควันบุหรี่กระทำต่อช่องปากของคนสูบบุหรี่ เราจะไม่แปลกใจว่าทำไมการสูบบุหรี่จึงทำให้เกิดกลิ่นปากรุนแรง
1. กลิ่นจากสารเคมีในควันบุหรี่ภายหลังจากการเผาไหม้
2. สารเคมีจากควันบุหรี่จะสะสมอยู่ในปาก เกาะติดกับฟัน เหงือก และกระพุ้งแก้ม
3. สารเคมีจากควันบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองกับเยื่อบุช่องปาก ทำให้ผิวภายในของช่องปากเกิดการอักเสบตลอดเวลา เหมือนกับเวลาที่ควันบุหรี่เข้าตา
4. การสะสมของสารเคมีเหล่านี้ ทำให้จำนวนแบคทีเรียในปากมีจำนวนมากขึ้น
5. แบคทีเรียเหล่านี้จะอยู่ในปาก โดยเฉพาะตามช่องเหงือกและฟัน โดยเฉพาะฟันที่มีหินปูนจับ
6. การสะสมของสารเคมีจากควันบุหรี่และเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้เกิดกลิ่นปากอย่างรุนแรงขึ้น
7. สารเคมีจากการเผาไหม้ของบุหรี่ยังถูกสะสมอยู่ในลำคอ หลอดลมและปอด ซึ่งแม้ว่าจะหยุดสูบแล้วระยะหนึ่ง ลมหายใจก็จะยังมีกลิ่นเหม็นของบุหรี่


ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

กอดด้วยรัก ลดเสี่ยงโรคหัวใจ

กอดด้วยรัก ลดเสี่ยงโรคหัวใจ
โดย kittipanan | วันที่ 14 พฤศจิกายน 2555
การโอบกอดแนบชิดด้วยความรักใคร่ มิใช่การแสดงความรู้สึกอย่างเดียว แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพหลายอย่าง
การโอบกอด ไม่ว่าจะเป็นการกอดแบบคู่รัก คู่สามี-ภรรยา คู่เพื่อน หรือการกอดของคนในครอบครัว หากกอดด้วยความรู้สึกรัก นอกจากส่งผลดีทางจิตใจแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย โดย ดร.แจน เอสตรอม นักจิตวิทยา เล่าข้อดีของการกอดด้วยรักไว้ในวารสารจิตวิทยา ในแดนผู้ดี
ดร.แจน บอกว่า การกอดกันแค่วันละครั้ง สองครั้ง เป็นภูมิต้านทานโรคร้ายได้ดี เพราะเพียงแค่ได้สัมผัสไออุ่นของกันและกันด้วยการกอด จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ลดความดันโลหิตให้เหมาะสม เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการติดเชื้อ และลดความเครียด
ที่สำคัญ เพียงแค่กอดกันผ่านไป 10 วินาที สมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขที่ชื่อ ออกซิโตซิน เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน พวกฮอร์โมนแห่งความเครียด อย่าง คอร์ติซอล จะลดลงไป
สำหรับช่วงวัยที่จะได้รับผลดีจากการกอดอย่างเห็นได้ชัด อยู่ระหว่าง 20-49 ปี ตามผลการศึกษาที่พบว่า การกอดซึ่งเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ในด้านบวก ก่อปฏิกิริยาทางชีวเคมีและสรีรวิทยาของคนวัยดังกล่าว โดยฮอร์โมนต่างๆ ของทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แถมยกระดับทักษะการเข้าสังคม การต่อสู้กับความเครียด และกระตุ้นความไว้วางใจ
ส่วนข้อสงสัยที่ว่า การกอดเข้าไปกระตุ้นสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในร่างกายได้อย่างไร ดร.แจน อธิบายว่า ภายใต้ผิวหนังของคนเรา จะมีโครงข่ายเล็กๆ ซ่อนอยู่เต็มไปหมด โดยโครงข่ายพวกนี้จะมีรูปร่างคล้ายไข่ไก่ เชื่อมต่อกันไปทั่วร่างกาย หรือเรียกว่า แพกซิเนียน คอร์พัสเซิล ตัวรับความรู้สึกหรือสัมผัสแล้วส่งสัญญาณไปยังเส้นประสาทเวกัส ที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ
รู้ประโยชน์ของการกอดอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะรักแบบไหน อย่าลืมกอดกันวันละนิด เพื่อความแข็งแรงของกายและใจ


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ตำลึง มะระขี้นก กะเพรา ฯลฯ แผลหายเร็วในผู้ป่วยเบาหวาน

ตำลึง มะระขี้นก กะเพรา ฯลฯ แผลหายเร็วในผู้ป่วยเบาหวาน
โดย piyawan-on | วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555
ตำลึง มะระขี้นก กะเพรา ใบหม่อน บัวบกลดน้ำตาล สมุนไพรใกล้ตัวต้านโรคเบาหวานได้ 
นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าวสมุนไพรใกล้ตัวและผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวาน เนื่องในวันเบาหวานโลก 14 พฤศจิกายนว่า ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 285 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน โดย ผู้ป่วย 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับประเทศไทยจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในปี 2553 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคเบา หวานทั้งหมด 6,855 คน หรือวันละ 19 คน
นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานยังมีโรคแทรกซ้อนทางตา ไต เท้า และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดและสมองสูง 2-4 เท่าของคนปรกติ และมากกว่าครึ่งพบความผิดปรกติของปลายประสาทและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ด้าน ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า ผักพื้นบ้าน และสมุนไพรไทยอย่างน้อย 5 ชนิด ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ได้แก่ 1.ตำลึง โดยใช้เถาแก่ๆประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำหรือน้ำที่คั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ 2.มะระขี้นก นำมาหั่น ตากแห้งแล้วชงน้ำดื่ม หรือ รับประทานผลสดครั้งละ 6-15 กรัม หรือคั้นน้ำจากผลสด 1 ผลแล้วดื่ม 3.วุ้นว่านหางจระเข้ โดยหั่นประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นแล้วรับประ-ทานวันละ 2 ครั้ง 4.กะเพรา นำใบมาตากแห้ง 2-5 กรัม ละลายน้ำแล้วดื่ม และ 5.ใบหม่อน นำมาชงช่วยลดน้ำตาลในร่างกายได้
"นอกจากนี้มีการวิจัยพบว่าบัวบกสามารถเร่งการหายของแผลได้เร็วขึ้น โดยปั่นน้ำบัวบกเข้มข้นดื่มต่างน้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ทาน สมุนไพรในการช่วยลดน้ำตาลในเลือดควรแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันที่ทำการรักษาทราบด้วย" ภญ.ดร. อัญชลีกล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้  

15 พฤติกรรมทำง่ายแต่โรคหัวใจอาจถามหา

15 พฤติกรรมทำง่ายแต่โรคหัวใจอาจถามหา
โดย pimchanok | วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
1. ไม่รักษาสุขภาพช่องปาก
เคยมีคำกล่าวเกี่ยวกับสุขภาพปากและสุขภาพหัวใจเอาไว้ว่า สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน หากสุขภาพช่องปากไม่ค่อยโสภา มีกลิ่นเหม็น หรือมีเศษอาหารหมักหมมตามซอกต่าง ๆ ก็เป็นไปได้ว่า สุขภาพหัวใจอาจต้องการหมอด้วยก็เป็นได้ ทั้งนี้เพราะในเวลาที่มีการอักเสบภายในเยื่อบุช่องปาก เชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
2. นอนหลับไม่เพียงพอ
ปัจจุบันคนที่มีโอกาสนอนหลับอย่างเพียงพอมีจำนวนน้อยลง จากเหตุผลต่าง ๆ เช่น ทำงานดึก หรือติดใจกับชีวิตในเวลากลางคืนมากเกินไปหน่อย ซึ่งการพักผ่อนไม่เพียงพอนี้ เป็นการทำร้ายอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจไปด้วย โดยคนที่นอนหลับไม่เพียงพอนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายได้ ดังนั้น หากทำได้ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน
3. ไม่เคยลาพักร้อน
การทำงานหนักติดต่อกันอาจให้ผลดีในแง่ความก้าวหน้า แต่สำหรับสุขภาพแล้ว การลาพักร้อนกลับช่วยได้มากกว่า เพราะการลาพักร้อนช่วยให้เราได้คลายเครียด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ การศึกษาจาก the Wisconsin Women’s Health Study ที่พบว่า ผู้ที่มีโอกาสลาพักร้อนนั้นจะยิ่งห่างไกลจากความเครียด อาการซึมเศร้า เหนื่อยง่าย แถมยังมีความสุขในชีวิตแต่งงานมากขึ้นด้วย
4. ไม่รับประทานผักผลไม้
ผักและผลไม้ล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ แถมด้วยไฟเบอร์ วิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนั้น ผักผลไม้ยังมีโปแตสเซียมสูง ซึ่งสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้รสเปรี้ยว กล้วย มะเขือเทศ มัน ถั่ว แอปเปิ้ล แตงกวา กะหล่ำปลี จากการศึกษาพบว่า สามารถช่วยลดการเกิดหัวใจวายได้สูงถึง 52 เปอร์เซ็นต์

5. ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
คุณอาจเกรงว่าการออกไปรับแสงอาทิตย์มาก ๆ นั้นเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนัง อีกทั้งการที่ตากแดดจนตัวดำก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักในประเทศไทย แต่ไม่ว่าอย่างไร แสงแดดก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย และควรเลือกรับแสงแดดในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังพบว่าแสงแดดมีผลดีต่อจิตใจด้วยเช่นกัน เพราะช่วยให้จิตใจแจ่มใส ปลอดโปร่งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่า การได้รับวิตามินดีต่ำนั้นมีผลต่อความดันโลหิตด้วย แต่รับแสงแดดแค่ไหนถึงพอดี ถ้าเป็นช่วงเดือนที่ค่อนข้างร้อนนั้น อาจจะ 5 - 30 นาทีในช่วงที่แดดไม่แรงมาก อาจให้ร่างกายบางส่วนเช่น หน้า แขน ขา หรือหลัง ได้สัมผัสแสงแดดก็เพียงพอ
6. ใช้บริการร้านประเภท Drive-through บ่อย ๆ
ลองเปลี่ยนเป็นจอดรถแล้วเดินลงไปซื้อของที่ต้องการ แทนการใช้บริการแบบ Drive-through ก็สามารถช่วยได้ บางคนอาจคิดว่า ต้องประหยัดเวลาตรงนี้ไว้ เพื่อจะได้รีบไปฟิตเนสออกกำลังกาย แต่จริง ๆ ถ้าในหนึ่งวันได้มีโอกาสเดินมาก ๆ ก็อาจทดแทนการไปเล่นฟิตเนสได้เช่นกัน ลองเริ่มจากการลดใช้บริการประเภท Drive-through ดูก่อนก็ยังได้
7. ไม่ยอมไปตรวจร่างกาย
หากคุณดูสุขภาพดีและไม่ปรากฏสัญญาณใด ๆ ของโรคหัวใจเลย ทำให้คุณชะล่าใจและเมินการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะโรคหัวใจสามารถคร่าชีวิตคุณได้โดยง่าย หลายคนไม่แสดงอาการของโรคมาก่อนเลยด้วย สมาคมโรคหัวใจอเมริกาแนะนำว่า ในกลุ่มผู้มีสุขภาพปกติควรจะเริ่มตรวจเช็คหัวใจตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป ส่วนการตรวจวัดความดันโลหิตควรเช็คทุก 6 เดือน น้ำตาลในเลือดควรเช็คทุก ๆ 3 ปี
8. เลือกของว่างผิดประเภท
ขนมถุง ๆ มันฝรั่งทอด หรือขนมปังกรอบ เป็นขนมที่มีเกลือและน้ำตาลแฝงอยู่ในปริมาณมาก และช่วยเพิ่มความดันโลหิตของเราได้ รวมถึงค่าไตรกลีเซอไรด์ด้วย นอกจากนั้น ความที่มันมีแต่คาร์โบไฮเดรต คุณจึงมักจะรู้สึกหิวได้ง่ายในเวลาไม่นาน และทำให้คุณต้องรับประทานอาหารมากขึ้น


9. เมินถั่ว
ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีอีกแหล่งหนึ่ง และหากรับประทานให้ถูกวิธีก็ไม่ต้องกังวลกับไขมันอิ่มตัว แถมยังมีไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย และช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย แต่สำหรับประเทศไทย อาจต้องพิจารณาเลือกแหล่งที่มาของถั่วให้สะอาด และปลอดจากเชื้อราด้วย      
10. ใช้เครื่องปรุงรสเยอะ
การบริโภคสารปรุงรสจำนวนมากอาจทำให้ร่างกายคุณได้รับเกลือมากเกินไป ซึ่งสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาเผยว่า ไม่ควรให้ร่างกายได้รับเกลือมากกว่า 1500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะนั่นจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้น
11. ดื่มน้ำอัดลม
น้ำอัดลม เครื่องดื่มประเภทบำรุงร่างกาย เหล่านี้เป็นตัวเพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกาย สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาแนะนำว่าผู้หญิงไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ผู้ชายไม่ควรเกิน 8 ช้อนชาต่อวัน แต่ในน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มรสหวานเหล่านั้น บางขวดมีน้ำตาลเกิน 8 ช้อนชาด้วยซ้ำ
12. ไม่มีเวลาให้ครอบครัว
การมีงานทำจนยุ่งไปหมดอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องยุ่งอยู่แต่กับงานตลอดสัปดาห์ การได้กลับมาพบหน้าครอบครัว พบหน้าคนที่รักช่วยยืดอายุให้กับหัวใจได้ อย่าปล่อยให้ตนเองรู้สึกโดดเดี่ยว มีงานเป็นเพื่อนเด็ดขาด เพราะมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กพบว่า ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าตัวเองเหงา โดดเดี่ยวนั้น มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ และโดยมากผู้ที่บอกตัวเองเช่นนี้มักจะเป็นผู้หญิงด้วย
ความรู้สึกเหงานั้นนอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่แล้ว ยังหมายถึงการไม่มีกิจกรรมทำ ต้องนั่งเฉย ๆ ซึ่งในผู้หญิงนั้น ความเหงาอาจนำไปสู่ปัญหาน้ำหนักเกิน โรคเครียด และนอนไม่หลับ ขณะที่คนที่มีสังคม มีเพื่อนฝูงให้ปรึกษานั้นพบว่ามีปัญหาเหล่านี้น้อยกว่า


13. ครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ
การจะทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจต้องพิจารณาจากประวัติของบุคคลในครอบครัวร่วมด้วย และไม่เฉพาะพ่อแม่ หากพี่หรือน้องของคุณมีสัญญาณของอาการดังกล่าว คุณเองก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น นอกจากนั้น ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดอย่างปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา ก็เช่นกัน หากพวกเขาเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว ให้พิจารณาถึงไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านี้ร่วมด้วย
14. พยายามทำสิ่งต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน
โดยเฉพาะคุณแม่บ้านซึ่งบางทีมีงานล้นมือเกินกว่าจะจัดการให้เสร็จทันในเวลาที่มีอยู่ พวกเธอจึงพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อม ๆ กัน และหลายคนก็สามารถทำได้ดี แต่นั่นอาจหมายถึงการทำงาน "มาก" เกินไป และทำให้เกิดความเครียดได้มาก ซึ่งส่งผลต่อหัวใจของเราในที่สุด
15. ไม่บอกใครว่าต้องการความช่วยเหลือ
หากคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ และต้องการลด ละ เลิกพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เช่น เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกรับประทานขนมหวาน การหักดิบด้วยตัวเองแบบเงียบ ๆ อาจไม่เป็นผลดีสักเท่าไร เพราะวันใดที่จิตใจคุณอ่อนแอ คุณอาจหันไปหาสิ่งเหล่านั้นได้โดยง่าย ทางที่ดีกว่าคือการบอกกับคนรอบข้าง หรือคนในครอบครัวให้พวกเขารับทราบด้วย ว่าคุณกำลังจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้ช่วยสนับสนุน ให้กำลังใจ และไม่ซื้อสิ่งที่อาจทำให้คุณตบะแตกมาฝาก


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

เคล็ดลับน่ารู้กินเพื่อสุขภาพ








เคล็ดลับน่ารู้กินเพื่อสุขภาพ



เคล็ดลับน่ารู้กินเพื่อสุขภาพ
เคล็ดลับน่ารู้กินเพื่อสุขภาพ




กินอาหารเช้าช่วยความจำดีขึ้น

กินอาหารเช้าช่วยความจำดีขึ้น
โดย Anonymous | วันที่ 29 พฤษภาคม 2552
ช่วยร่างกายสดชื่น เพิ่มพลังงานสมอง
          อาหารเช้า....ไม่ได้กินก่อนออกจากบ้านเพราะกลัวไปทำงานสาย แต่เมื่อถึงที่ทำงานก็ไม่ได้กินเหมือนกัน เพราะต้องรีบทำงาน ฟังดูแล้วเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ คนบางคนอาจปฏิบัติจนเกิดความเคยชินอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารเช้า2
          ระหว่างที่นอนหลับร่างกายก็ยังใช้พลังงาน และสารอาหารต่างๆ เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายทำงาน เช่น ระบบหายใจ และอื่นๆ ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาระดับสารอาหารหลายชนิดจะลดลง จึงจำเป็นต้องนำมาเติมให้อยู่ในระดับปกติ คือ การกินอาหารเช้า
          คนจำนวนไม่น้อยจะกินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือ พ่อแม่บางคนก็จะให้ลูกกินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียน การไม่กินอาหารเช้า จะทำให้ร่างกายขาดพลังงานและจะมีผลต่อการเรียนรู้และความจำ สารอาหารหลักที่ให้พลังงานคือกลูโคส ซึ่งจะสลายให้พลังงานแก่ร่างกาย ดังนั้นการกินอาหารเช้า จึงทำให้สมองทำงานได้ดี

          โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน การได้กินอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน หรือกินอาหารเช้าที่โรงเรียนก็จะช่วยให้นักเรียนมีสมาธิในการเรียน แม้ในผู้ใหญ่ก็เช่นกัน การได้กินอาหารเช้าจะช่วยให้ความจำดีขึ้น จากการศึกษาเปรียบเทียบผู้สูงอายุที่กินอาหารเช้าประเภทธัญพืช กับผู้สูงอายุที่ไม่กินอาหารและดื่มแต่น้ำเท่านั้น พบว่า ผู้ที่กินอาหารเช้าจะมีความจำดีกว่า
          การทำงานของสมองต้องใช้พลังงานตลอดเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลำเลียงอาหารส่งสมองเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน สารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งเมื่อสลายจะให้กลูโคส ซึ่งจะสลายต่อไปแล้วให้พลังงาน ดังนั้นการกินอาหารเช้าจึงมีข้อดีช่วยให้สดชื่น มีแรงทำงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ จนกว่าจะถึงมื้ออาหารต่อไป
          สำหรับคนที่ไม่กินอาหารเช้า ควรปรับพฤติกรรมใหม่หันมากินอาหารเช้า เพื่อให้การทำงานในแต่ละวันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้การรับรู้และความจำดีขึ้น




ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

แนะดื่มน้ำล้างกระเพาะปัสสาวะ รักษาสุขภาพ

แนะดื่มน้ำล้างกระเพาะปัสสาวะ รักษาสุขภาพ
โดย pimchanok | วันที่ 26 ตุลาคม 2555
นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยถึงวิธีการดูแลสุขภาพช่วงปลายฝนต้นหนาว ว่านอกจากการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แผนไทยแล้ว กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยังมีองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนไว้ปรับสมดุลร่างกายให้มีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลตามธรรมชาติทั้ง 3 ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกาย จึงต้องปรับตัวในการดูแลสุขภาพตนเองให้เหมาะกับฤดูกาล และเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ร่างกายต้องปรับตัวอย่างมาก ทั้งอากาศ และอาหารที่รับประทาน ช่วงที่ฝนตกหนักความชื้นเป็นน้ำทำให้อินหรือหยินมีมากไปทำลายหยาง เกิดความไม่สมดุลในร่างกาย เช่นสวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไป ถูกฝน แช่อยู่ในน้ำเย็นนานเกินไป จะทำให้เจ็บป่วยจากความเย็นได้ง่าย เนื่องจากปริมาณความเย็นมีมาก จึงเป็นสาเหตุก่อโรคมากมาย การดูแลตนเองในช่วงนี้จึงเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือหากเป็นช่วงฝนตก ความชื้นจะมาก ก็ควรเลือกออกกำลังกายเบาๆ เช่น เต้นรำ เดินออกกำลัง รำไท้เก็ก เลี่ยงอาหารรสหวาน งดดื่มน้ำเย็น รับประทานอาหารประเภทน้ำแกง หรือซุปใส น้ำแกงเต้าหู้ ผัดถั่วงอก ต้มฟัก หรือรับประทานถั่วเช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ต้มทานกับข้าวสวยหรือโจ๊กอ่อนๆ จะเห็นว่าอาหารดังกล่าวสำหรับคนกินเจก็สามารถรับประทานได้
นพ.สมชัย กล่าวอีกว่า หากพบอากาศหนาวเย็นควรดื่มน้ำสะอาด 3 แก้ว แก้วแรกช่วงเช้า 05.00-07.00 น. เพื่อช่วยขับถ่าย แก้วที่สอง 15.00-17.00 น. จะช่วงล้างกระเพาะปัสสาวะ แก้วที่สาม ก่อนนอนหนึ่งชั่วโมง ช่วยในการนอนหลับฤดูหนาวควรรักษาพลังอินของไต โดยการทำจิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่านรับประทานผัก เช่น คะน้า หัวไชเท้า รับประทานถั่วเหลือง เกาลัด ส้มโอ รับประทานน้ำพุทรา โจ๊กงาดำ เป็นต้น


ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

'8 ไม่' ป้องกันภาวะหัวใจวาย


'8 ไม่' ป้องกันภาวะหัวใจวาย
โดย keetacha | วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555
หัวใจวาย (Heart failure) หมายถึง ภาวะซึ่งหัวใจไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างพอเพียง 
หัวใจวายไม่เหมือนกับหัวใจหยุดเต้น เรียกหัวใจวายว่า Congestive Heart Failure คือ อาการหัวใจทำงานล้มเหลว ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ขาดออกซิเจน เมื่อไตได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ทำให้ไตสร้างสารบางชนิดออกมา ทำให้เกิดการคั่งของน้ำ และเกลือในร่างกาย    หากหัวใจห้องซ้ายวาย ก็จะมีการคั่งของน้ำ และเกลือที่ปอด ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า น้ำท่วมปอด (Pulmonary edma) หากหัวใจห้องขวาวาย จะเกิดการคั่งของน้ำที่ขา ทำให้เท้าบวม   อาการหัวใจวายอาจจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เช่น เกิดภายหลังจากหลอดเลือดหัวใจตีบ หรืออาจจะค่อยๆ เกิด เช่น โรคของลิ้นหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจ
          สาเหตุสำคัญของภาวะหัวใจวาย
- ความดันเลือดสูง - เส้นเลือดหัวใจอุดตัน 
- เบาหวานคนที่มีกลุ่มอาการเมตาโบลิคส์ (metabolic syndrome) 
- คนที่มีกลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะต่อไปนี้อย่างน้อย 3 ข้อจากทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่ 
- ไขมันรอบเอวมากเกิน (ประเทศไทยใช้เกณฑ์ 90 ซม.ขึ้นไป ผู้หญิง 80 ซม.ขึ้นไป) 
- ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง 
- โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL: high density lipoprotein) ต่ำ    - ความดันเลือดสู               ง- เบาหวาน 
         “8 ไม่ป้องกันภาวะหัวใจวาย
- ไม่ อ้วน                                              - ไม่ เค็ม (ลดเกลือลง)                       - ไม่ ดัน (ป้องกันความดันเลือดสูง) 
- ไม่ มัน (ไม่กินของมันๆ มากเกิน)                              - ไม่ หวาน (ไม่กินของหวานมากเกิน)
- ไม่ เฉื่อย (ไม่นั่งๆ นอนๆ มากเกิน หันไปออกกำลังและใช้แรงบ้าง)                  - ไม่ สูบ (บุหรี่) 

- ไม่ ฉีด (ยาเสพติดชนิดฉีด)                            - ไม่ ดื่ม (ไม่ดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์)

ที่มา:คมชัดลึก

หนุนลดเวลาเรียนเด็ก อัดเยอะปิดกั้นคิดสร้างสรรค์

หนุนลดเวลาเรียนเด็ก อัดเยอะปิดกั้นคิดสร้างสรรค์
โดย pimchanok | วันที่ 7 พฤศจิกายน 2555
กุมารแพทย์หนุนปรับลดเวลาเรียนเด็กไทย ชี้สอนอัดแน่นเกินไป ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์เด็ก แนะปูพื้นคุณธรรม จริยธรรมก่อนวิชาการ โดยเฉพาะช่วงอนุบาลถึงประถมต้น เน้นออกกำลังกาย เล่นกีฬา เรียนรู้นอกห้อง สอนวิธีการเรียนรู้ให้เด็ก เชื่อ ช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กได้ดีกว่าการนั่งท่องจำ      
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (บอร์ด กพฐ.) ให้ทบทวนจำนวนคาบเรียนต่อวัน ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปว่า จะปรับหรือลดแน่ชัดหรือไม่ ว่า ปัจจุบันการเรียนการสอนของประเทศไทยมีจำนวนวิชามากจนเกินไป โดยเฉพาะเด็กในช่วงชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งสมควรสอนในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมากกว่าวิชาความรู้อื่นๆ ที่อัดแน่นตั้งแต่เด็ก ซึ่งตนมองว่าวิชาเหล่านั้นสามารถเรียนรู้ในภายหลังได้ เนื่องจากเรียนรู้ไวเกินไปสุดท้ายก็ลืมหมด แต่ควรที่จะต้องปลูกฝังความเป็นคนดีให้แก่เด็กตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เพื่อให้เด็กรู้จักความสามัคคี การรู้แพ้ รู้ชนะ การออกไปเรียนรู้หรือทดลองปฏิบัตินอกห้องเรียน รวมไปถึงกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ      
ในต่างประเทศทั้งประเทศแถบสแกนดิเนเวีย หรือญี่ปุ่น ต่างสอนเด็กของเขาในเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเขาต้องการให้พื้นฐานของเด็กดีก่อน มีสุขภาพที่แข็งแรง และรู้จักสังคม ตนเห็นด้วยหากจะปรับลดจำนวนคาบการเรียนการสอน โดยหันไปเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การเรียนจากของจริงนอกห้องเรียนมากกว่าเรียนในกระดาษ รวมไปถึงการออกกำลังกาย เล่นกีฬาบ่อยๆ สอนวิธีการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ามานั่งท่องจำเยอะๆในห้องเรียนปธ.ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ กล่าว      
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จะสังเกตได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว การเรียนการสอนจะน้อย ไม่อัดแน่นเหมือนประเทศไทยที่เด็กนั่งเรียนกันจนไม่มีเวลาคิดอะไรที่สร้างสรรค์ ซึ่งในต่างประเทศให้เด็กเรียนเพียงครึ่งวัน จากนั้นจึงให้ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาสมอง และวิธีการเรียนรู้ ทั้งนี้ หากประเทศไทยจะปรับลดจำนวนคาบเรียน ควรมีการหากิจกรรมให้เด็กทำ แต่ครูต้องไม่เข้าไปสอน เพราะหากมีการสอนมากๆ เด็กก็จะหันไปเล่นเกมแทน แต่หากมีกิจกรรมให้เด็กได้ทำก็จะช่วยลดการคลายเครียดด้วยการเล่นเกมมากๆ ได้ นอกจากนี้ ควรเน้นในเรื่องการอ่านเพื่อสร้างจินตนาการให้เด็กด้วย เชื่อว่า จะช่วยพัฒนาให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพที่ดีได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ



เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง ทางเฟซบุ๊ก

เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง ทางเฟซบุ๊ก
โดย kittipanan | วันที่ 8 พฤศจิกายน 2555
อย.เตือนผู้บริโภคระวังการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอ้างลดสัดส่วน ทำให้ผิวขาว ผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านทางเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก 
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคให้ตรวจสอบการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอ้างลดสัดส่วน ทำให้ผิวขาว ผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านทางเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น วิตามินลดสัดส่วน  วิตามินลดพุง หน้าท้อง Vitamin ลดต้นแขน & ปีกหลัง วิตามินเร่งผมยาว ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ครีมรักษาสิว ฝ้า ครีมทำให้ผิวขาวใส ครีมมาร์คหน้าขาวใส เป็นต้น
จากการตรวจสอบพบเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. อีกทั้งยังมีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง บางผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะเครื่องสำอาง เพียงจดแจ้งกับ อย. แต่นำไปโฆษณาว่าผ่าน อย. แล้ว ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า อย. รับรองสรรพคุณผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง
จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อคำโฆษณาและซื้อมาใช้โดยเด็ดขาด เพราะมักพบว่าผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง มักลักลอบใส่ยาหรือสารที่เป็นอันตรายลงไป และผลิตภัณฑ์ผลิตไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน อาจได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน


ที่มา : สำนักข่าวไทย