หลักในการสร้างโปรแกรมแอโรบิกแดนซ์
หลักการสร้างโปรแกรมการเต้นแอโรบิกควรใช้หลักของ FFIT ดังนี้ สุกัญญา พานิชเจริญ
นาม และสืบสาย บุญวีรบุตร (2540)
Fun
(F = สนุกสนาน ท้าทายความสามารถ)
หลักการที่สำคัญในการเต้นแอโรบิก คือ ต้องเป็นกิจกรรมที่มีความสนุกสนานท้าทายความสามารถ
ไม่น่าเบื่อ จัดให้เหมาะกับความต้องการ เพศ วัย และระดับสมรรถภาพและที่สำคัญที่สุดคือการสร้างให้ผู้ออกกำลังกายรักการออกกำลังกาย
กล่าวคือการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันสิ่งนั้นก็คือความสนุกสนาน การมีจุดมุ่งหมาย
และการบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งการเห็นประโยชน์และได้รับประโยชน์ตามที่ต้องการจากการเต้นแอโรบิกแดนซ์
แต่อย่างไรก็ตามการที่จะสร้างส่วนนี้ให้ได้ความสนุกสนานต้องมาก่อนแล้ว จึงจะรักในการออกกำลังกายจากนั้นค่อยคำนึงถึงประโยชน์ที่ตามมา
Frequency
(F = ความบ่อย)
การเต้นแอโรบิกแดนซ์บ่อยเพียงใดจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด คำตอบก็คือ ควรเต้นอย่างน้อย 3 วันต่อ 1 สัปดาห์ และอย่างมาก
6 วันต่อ 1 สัปดาห์ โดยให้มีวันพัก 1 วันต่อสัปดาห์ และการเต้นแอโรบิกแดนซ์ 2 และ
3 วันต่อสัปดาห์ ให้ประโยชน์แตกต่างกันหรือไม่อย่างไรหากท่านเต้น 2
ครั้ง ต่อสัปดาห์ จะให้ผลดีต่อการไหลเวียนของโลหิต และการคงสภาพความสามารถของร่างกายได้ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต
และเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกายจึงควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
Intensity
(I = ความหนัก)
ควรออกกำลังกายหนักเพียงไร โดยใช้อัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร) เป็นตัวบ่งชี้แต่ละบุคคล สามารถตัดสินใจในการออกกำลังกายของตนเอง
โดยใช้สูตรของ คาร์โวเนน (Karvonen Formula) ในการคำนวณหาชีพจรเป้าหมายหรือความหนักเป้าหมาย
(Target Heart Rate; THR) ตามระดับของสมรรถภาพ หรือความฟิตของอายุของบุคคลนั้นเพื่อกำหนดความหนักในการออกกำลังกายที่เหมาะสม
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการออกกำลังกาย โดยการใช้สูตรนี้ ควรกำหนดความหนักให้อยู่ระหว่าง
60 ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด
Time
(T = ระยะเวลา)
ควรออกกำลังกายนานเท่าไหร่เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ระยะเวลาในการออกกำลังกายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความหนักของการออกกำลังกาย
ความฟิตอายุจุดมุ่งหมายหรือแรงจูงใจในการออกกำลังกาย เวลาในการออกกำลังกายที่ได้ผลตั้งแต่ 15 ถึง 60 นาทีหรือการออกกำลังกาย
ที่มีความหนักหรือความเข้มให้อยู่ในช่วงพอประมาณและการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดขั้นตอนที่สำคัญในการเต้นแอโรบิก
การอบอุ่นร่างกาย (Warm Up) ใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 7 นาทีเป็นช่วงของการเตรียมความพร้อมที่จะทำงานหนัก เป็นการเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปสู่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
เป็นการเตรียมเพื่อเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนออกซิเจนระหว่างเลือด และกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะทำงานซึ่งยังเป็นการช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้น
ดนตรีที่ดีควรมีจังหวะระหว่าง 135 ถึง 140 ครั้งต่อนาที (BPM)
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
(Stretching) ใช้เวลา 5 ถึง 7 นาที เป็นช่วงของการยืดเหยียดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ
ทั่วทั้งร่างกายตลอดจนการเคลื่อนไหวของเอ็น ข้อต่อต่างๆ ให้สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มช่วงกว้างตามธรรมชาติของข้อต่อนั้นๆ
เพื่อให้มีความปลอดภัยในการออกกำลังกาย
ช่วงแอโรบิก หรือช่วงงาน (Aerobic
Workout) ใช้เวลา 20 ถึง 40 นาทีในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของปอดและหัวใจ
ตลอดจนการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังที่สะสมไว้และเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ ให้มีความแข็งแรงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นช่วงการจัดกิจกรรมให้มีระดับที่สามารถคงสภาพ ศักยภาพของกล้ามเนื้อรวมทั้งการพัฒนาให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของแต่ละบุคคลโดยเน้นให้มีการสร้างและบรรลุอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย
(Target Hart Rate) ดนตรีที่ใช้ควรมีจังหวะระหว่าง 140 ถึง 160 ครั้งต่อนาที (BPM)
ช่วงลดงานเพื่อปรับสภาพ (Cool
Down) ใช้เวลา 5 ถึง 10 นาที เป็นช่วงลดอัตราการเต้นของหัวใจ และการสูบฉีดของโลหิต
รวมทั้งลดอาการเวียนศีรษะ และเพิ่มอัตราการไหลกลับของเลือดดำ เป็นการปรับสภาพการทำงานของร่างกายจากระดับที่มีความเข้มข้นสูงสุด
ค่อยๆลดลงจนเกือบอยู่ในสภาพปกติ ดนตรีที่ใช้ควรมีจังหวะระหว่าง 155 ถึง 140 ครั้งต่อนาที (BPM) การบริหารเฉพาะส่วน
(Floor Work) ใช้เวลา 7 ถึง 10 นาที ในการที่จะพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แต่ละส่วนที่ต้องการ
ตลอดจนการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออีกครั้งเพื่อการผ่อนคลายการจัดปรับ
กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เหล่านั้นให้ยืดเหยียดคืนสู่สภาพเดิม
และมีการผ่อนคลายดนตรีที่ใช้ควรมีจังหวะระหว่าง
120 ถึง 135 ครั้งต่อนาที (BPM) ในช่วงสุดท้ายของการเต้นร่างกายควรอยู่ในลักษณะที่มีการผ่อนคลาย ชีพจรอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราชีพจรปกติ
และผู้เต้นควรมีความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
ท่าการเคลื่อนไหวที่ใช้ในการเต้นแอโรบิก
1.
การย่ำเท้า Marching คือ การย่ำเท้าอยู่กับที่
ส่วนใหญ่แล้วจะย่ำเท้า 2 แบบคือ แบบกว้าง
(
Marching
Out ) และแบบแคบ( Marching In )
2.
การเดิน ( Walking ) คือ การ ก้าวเท้าไปยังทิศทางที่เคลื่อนที่ไป
มีการถ่ายน้ำหนักตัวจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง การเดินนั้นสามารถเดินไปข้างหน้า
ข้างหลัง หรือเฉียง หรือเดินเป็นรูป
3.
ก้าวรูปสี่เหลี่ยม ( Easy Walk ) คือ
การก้าวเดินไปข้าง 1 ก้าว ถอยหลัง 1 ก้าว
ลักษณะคล้าย V-step แต่วางเท้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม
หรืการก้าวเดิน
4.
การก้าวแตะ ( Step Touch สเต็ปทัช) คือ การยกเท้าหนึ่งไปด้านข้างแล้วยกเท้าอีกข้างหนึ่งไปแตะแล้วทำสลับกัน ทิศทางการเคลื่อนไหวจะเป็นการก้าวแตะที่อยู่กับที่
หรือทำเป็นรูปตัวแอล หรือก้าวแตะหมุนรอบตัวเองก็ได้
5.
ส้นเท้าแตะ ( Hell Touch ฮีลทัช) คือการแตะด้วยส้นเท้าข้างใดข้างหนึ่ง
โดยแตะข้างหน้าหรือด้านหลังก็ได้
6.
ปลายเท้าแตะด้านข้าง ( Side Tap ไซด์แทบ) คือการแตะด้วยปลายเท้าข้างใดข้างหนึ่งโดยแตะด้านข้างหน้าซ้าย-ขวา
สลับกัน
7.
การยกส้นเท้า ( Lek Curl เล็คเคอ) คือ การยกส้นเท้าขึ้นไปที่สะโพกด้านหลัง
หรือการพับส้นเท้าไปด้านหลัง การทำ Hamstring Curl หรือ Hamstring
Curl Lek Curl นั้นทำได้ทั้งที่อยู่กับที่หรือหมุนรอบตัวเอง
(แฮมสตริงเคอ)
8.
ก้าวไขว้ก้าวแตะ ( Grapevine เกรพวาย ) ก้าว ไขว้ก้าวแตะ
หรือเกรพวายคือการทำก้าวไขว้ขาไปหลังหรือหน้าก็ได้ การทำเกรพวายนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ
เช่น เกรพวายธรรมดา หรือเกรพวายเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือเกรพวายหมุน 180 องศา
9.
แมมโบ้ ( Membo ) คือ การก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งไปข้างหน้าแล้วย่อเข่าลงแล้วนำกลับสู่ที่เดิม
และเปลี่ยนข้างทำ การทำแมมโบ้สามารถทำได้ทั้งข้างหน้าและด้านข้างก็ได้
10.
ยกเข่า ( Knee Up นีอัพ) เป็น ท่าการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการพัฒนากล้ามเนื้อขาหรือ
Knee
Lift ได้อย่างดีดังนั้นแอโรบิก ด๊านซ์ทุกประเภทจึงมีท่าการยกเข่าทั้งการยกเข่าด้านหน้า
( Front Knee Lift )หรือ นีลีฟ ด้านข้าง ( Side Knee
Lift ) การยกเข่าเฉียง ( Knee Cross )
11.
การแตะขา ( Kick คิก ) การแตะขา
ไปใช้ในทิศทางต่าง ๆ ทั้งการแตะไปด้านหน้า ( foreward )
เฉียง
( cross
) หลัง ( backward )และข้าง( sideward
) การแตะขาที่ถูกต้องควาเป็นการแตะขาไม่ใช่การสะบัดเข่า
12.
ก้าวชิดก้าวแตะ ( Two Step ทูสเต็ป) คือการทำก้าวชิดก้าวแตะ
หรือการทำก้าวแตะ 2
ครั้ง
13.
สควอท ( Squats ) คือการนั่งยอง ๆ หรือ ย่อ ยืด
ควรนั่งให้มุมสะโพกและเท้าเป็นมุม 90 % เท่านั้น ไม่ควรนั่งให้สะโพกชิดส้นเท้าเพราะจะทำให้เอ็นหรือกระดูกอ่อนที่หัวเข่ายืด
มากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เข่าเจ็บ
14.
ช่า ช่า ช่า( Cha Cha Cha ) คือการก้าวใดเท้าหนึ่งไขว้ไปด้านหน้า
ย่ำเท้าหลัง แล้วนำเท้ากลับที่ก้าวไปข้างหน้ากลับมา ย่ำ ย่ำ ย่ำ สลับเท้า
15.
ส่ายสะโพก ( Twis ) คือการส่ายสะโพกซ้าย – ขวา สลับกัน
16.
Step Knee
คือการย่ำเท้า 1-2 ก้าวขึ้นบน 3 แล้วยกเข่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น